วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ธรรมมีประเภทละ ๓ๆ ที่พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ทรงเห็น
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมมีประเภทละ ๓ๆ ที่พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ทรงเห็น
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสไว้โดยชอบแล้วมีอยู่แล พวกเราทั้งหมด
ด้วยกันพึงสังคายนา ไม่พึงกล่าวแก่งแย่งกันในธรรมนั้นการที่พรหมจรรย์นี้จะพึงยั่งยืนตั้งอยู่
นาน นั้นพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ชนมากเพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่อความอนุเคราะห์
แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลเพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมมี
ประเภทละ ๓ๆ เป็นไฉน
อกุศลมูล ๓ อย่าง
๑. อกุศลมูล คือ โลภะ
๒. อกุศลมูล คือ โทสะ
๓. อกุศลมูล คือ โมหะ
กุศลมูล ๓ อย่าง
๑. กุศลมูล คือ อโลภะ
๒. กุศลมูล คือ อโทสะ
๓. กุศลมูล คือ อโมหะ
ทุจริต ๓ อย่าง
๑. กายทุจริต [ความประพฤติชั่วทางกาย]
๒. วจีทุจริต [ความประพฤติชั่วทางวาจา]
๓. มโนทุจริต [ความประพฤติชั่วทางใจ]
สุจริต ๓ อย่าง
๑. กายสุจริต [ความประพฤติชอบทางกาย]
๒. วจีสุจริต [ความประพฤติชอบทางวาจา]
๓. มโนสุจริต [ความประพฤติชอบทางใจ]
อกุศลวิตก ๓ อย่าง
๑. กามวิตก [ความตริในทางกาม]
๒. พยาปาทวิตก [ความตริในทางพยาบาท]
๓. วิหิงสาวิตก [ความตริในทางเบียดเบียน]
กุศลวิตก ๓ อย่าง
๑. เนกขัมมวิตก [ความตริในทางออกจากกาม]
๒. อัพยาปาทวิตก [ความตริในทางไม่พยาบาท]
๓. อวิหิงสาวิตก [ความตริในทางไม่เบียดเบียน]
อกุศลสังกัปปะ ๓ อย่าง
๑. กามสังกัปปะ [ความดำริในทางกาม]
๒. พยาปาทสังกัปปะ [ความดำริในทางพยาบาท]
๓. วิหิงสาสังกัปปะ [ความดำริในทางเบียดเบียน]
กุศลสังกัปปะ ๓ อย่าง
๑. เนกขัมมสังกัปปะ [ความดำริในทางออกจากกาม]
๒. อัพยาปาทสังกัปปะ [ความดำริในทางไม่พยาบาท]
๓. อวิหิงสาสังกัปปะ [ความดำริในทางไม่เบียดเบียน]
อกุศลสัญญา ๓ อย่าง
๑. กามสัญญา [ความจำได้ในทางกาม]
๒. พยาปาทสัญญา [ความจำได้ในทางพยาบาท]
๓. วิหิงสาสัญญา [ความจำได้ในทางเบียดเบียน]
กุศลสัญญา ๓ อย่าง
๑. เนกขัมมสัญญา [ความจำได้ในทางออกจากกาม]
๒. อัพยาปาทสัญญา [ความจำได้ในทางไม่พยาบาท]
๓. อวิหิงสาสัญญา [ความจำได้ในทางไม่เบียดเบียน]
อกุศลธาตุ ๓ อย่าง
๑. กามธาตุ [ธาตุคือกาม]
๒. พยาปาทธาตุ [ธาตุคือความพยาบาท]
๓. วิหิงสาธาตุ [ธาตุคือความเบียดเบียน]
กุศลธาตุ ๓ อย่าง
๑. เนกขัมมธาตุ [ธาตุคือความออกจากกาม]
๒. อัพยาปาทธาตุ [ธาตุคือความไม่พยาบาท]
๓. อวิหิงสาธาตุ [ธาตุคือความไม่เบียดเบียน]
ธาตุอีก ๓ อย่าง
๑. กามธาตุ [ธาตุคือกาม]
๒. รูปธาตุ [ธาตุคือรูป]
๓. อรูปธาตุ [ธาตุคือสิ่งที่ไม่มีรูป]
ธาตุอีก ๓ อย่าง
๑. รูปธาตุ [ธาตุคือรูป]
๒. อรูปธาตุ [ธาตุคือสิ่งที่ไม่มีรูป]
๓. นิโรธธาตุ [ธาตุคือความดับทุกข์]
ธาตุอีก ๓ อย่าง
๑. หีนธาตุ [ธาตุอย่างเลว]
๒. มัชฌิมธาตุ [ธาตุอย่างกลาง]
๓. ปณีตธาตุ [ธาตุอย่างประณีต]
ตัณหา ๓ อย่าง
๑. กามตัณหา [ตัณหาในกาม]
๒. ภวตัณหา [ตัณหาในภพ]
๓. วิภวตัณหา [ตัณหาในปราศจากภพ]
ตัณหาอีก ๓ อย่าง
๑. กามตัณหา [ตัณหาในกาม]
๒. รูปตัณหา [ตัณหาในรูป]
๓. อรูปตัณหา [ตัณหาในสิ่งที่ไม่มีรูป]
ตัณหาอีก ๓ อย่าง
๑. รูปตัณหา [ตัณหาในรูป]
๒. อรูปตัณหา [ตัณหาในสิ่งที่ไม่มีรูป]
๓. นิโรธตัณหา [ตัณหาในความดับสูญ] [อุจเฉททิฏฐิ]
สัญโญชน์ ๓ อย่าง
๑. สักกายทิฏฐิ [ความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน]
๒. วิจิกิจฉา [ความลังเลสงสัย]
๓. สีลัพพตปรามาส [ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ด้วยอำนาจศีลพรต]
อาสวะ ๓ อย่าง
๑. กามาสวะ [อาสวะเป็นเหตุอยากได้]
๒. ภวาสวะ [อาสวะเป็นเหตุอยากเป็น]
๓. อวิชชาสวะ [อาสวะคือความเขลา]
ภพ ๓ อย่าง
๑. กามภพ [ภพที่เป็นกามาวจร]
๒. รูปภพ [ภพที่เป็นรูปาวจร]
๓. อรูปภพ [ภพที่เป็นอรูปาวจร]
เอสนา ๓ อย่าง
๑. กาเมสนา [การแสวงหากาม]
๒. ภเวสนา [การแสวงหาภพ]
๓. พรหมจริเยสนา [การแสวงหาพรหมจรรย์]
วิธา การวางท่า ๓ อย่าง
๑. เสยโยหมสฺมีติวิธา [ถือว่าตัวเราประเสริฐกว่าเขา]
๒. สทิโสหมสฺมีติวิธา [ถือว่าตัวเราเสมอกับเขา]
๓. หีโนหมสฺมีติวิธา [ถือว่าตัวเราเลวกว่าเขา]
อัทธา ๓ อย่าง
๑. อดีตอัทธา [ระยะกาลที่เป็นส่วนอดีต]
๒. อนาคตอัทธา [ระยะกาลที่เป็นส่วนอนาคต]
๓. ปัจจุบันนอัทธา [ระยะกาลที่เป็นปัจจุบัน]
อันตะ ๓ อย่าง
๑. สักกายอันตะ [ส่วนที่ถือว่าเป็นกายตน]
๒. สักกายสมุทยอันตะ [ส่วนที่ถือว่าเป็นเหตุก่อให้เกิดกายตน]
๓. สักกายนิโรธอันตะ [ส่วนที่ถือว่าเป็นเครื่องดับกายตน]
เวทนา ๓ อย่าง
๑. สุขเวทนา [ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข]
๒. ทุกขเวทนา [ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์]
๓. อทุกขมสุขเวทนา [ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข]
ทุกขตา ๓ อย่าง
๑. ทุกขทุกขตา [ความเป็นทุกข์เพราะทุกข์]
๒. สังขารทุกขตา [ความเป็นทุกข์เพราะสังขาร]
๓. วิปริฌามทุกขตา [ความเป็นทุกข์เพราะความแปรปรวน]
ราสี ๓ อย่าง
๑. มิจฉัตตนิยตราสี [กองคือความผิดที่แน่นอน]
๒. สัมมัตตนิยตราสี [กองคือความถูกที่แน่นอน]
๓. อนิยตราสี [กองคือความไม่แน่นอน]
กังขา ๓ อย่าง
๑. ปรารภกาลที่ล่วงไปแล้วนานๆ แล้วสงสัย เคลือบแคลง ไม่เชื่อลงไปได้ ไม่เลื่อมใส
๒. ปรารภกาลที่ยังไม่มาถึงนานๆ แล้ว สงสัย เคลือบแคลง ไม่เชื่อลงไปได้
ไม่เลื่อมใส
๓. ปรารภกาลปัจจุบันทุกวันนี้แล้ว สงสัย เคลือบแคลง ไม่เชื่อลงไปได้ ไม่เลื่อมใส
ข้อที่ไม่ต้องรักษาของพระตถาคต ๓ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตมีกายสมาจารบริสุทธิ์ พระตถาคตมิได้มีความ
ประพฤติชั่วทางกายที่พระองค์จะต้องรักษาไว้โดยตั้งพระทัยว่า คนอื่นๆอย่าได้รู้ถึงความประพฤติ
ชั่วทางกายของเรานี้ ดังนี้
๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ พระตถาคตมิได้มีความ
ประพฤติชั่วทางวาจาที่พระองค์จะต้องรักษาไว้โดยตั้งพระทัยว่า คนอื่นๆ อย่าได้รู้ถึงความประพฤติชั่ว
ทาง
วาจาของเรานี้ ดังนี้
๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตมีมโนสมาจารบริสุทธิ์ พระตถาคตมิได้มีความ
ประพฤติชั่วทางใจที่พระองค์จะต้องรักษาไว้โดยตั้งพระทัยว่า คนอื่นๆอย่าได้รู้ถึงความประพฤติ
ชั่วทางใจของเรานี้ ดังนี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น